น.สพ.ดร.บริพัตร ศิริอรุณรัตน์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ องค์การสวนสัตว์ ฝ่ายอนุรักษ์, วิจัย และการศึกษา เขาคือหนึ่งในทีมงานผู้ดำเนินการผสมเทียมเจ้าหมีแพนด้าน้อยหลินปิง ผู้มีสืบเป็นแรงบันดาลใจในชีวิต
เขารับรู้ผลงานและชีวิตของสืบ ตั้งแต่ตอนเรียนปี 3 คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จากนิตยสารสารคดีและรายการสารคดีส่องโลกที่นำเสนอเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ป่าไม้คนหนึ่งชื่อสืบ ในการช่วยชีวิตสัตว์ป่าที่เขื่อนเชี่ยวหลาน กระทั่ง ปี 2532 ได้ไปที่ห้วยขาแข้ง ได้พูดคุย ได้ร่วมงานกับสืบเป็นครั้งแรก และเห็นถึงความตั้งใจจริงในการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เขาจึงมีสืบเป็นฮีโร่ในดวงใจนับแต่นั้น
“ไม่กี่เดือนหลังจากนั้น ทราบข่าวการยิงตัวตายของท่าน เราอยู่ในช่วงค้นหาความหมายชีวิต จึงคิดทบทวนว่าหากจบมาอยากทำงานในลักษณะนี้ ตามอุดมการณ์ของท่านในการอนุรักษ์วิจัยสัตว์ป่า ตอนไปเรียนต่อปริญญาเอกที่อเมริกา 5 ปี ผมจะมีรูปพ่อที่พกติดกระเป๋าสตางค์ตลอดเวลา และอีกรูปที่แขวนติดฝาผนังอยู่เป็นรูปหมอบุญส่ง (เลขะกุล) และสืบ (นาคะเสถียร) หากเกิดปัญหาในชีวิต หรือท้อแท้จะแหงนหน้ามองรูปของท่านทั้งสอง”
เขามองว่า ผ่านมา 19 ปีหลังการเสียชีวิตของสืบ จิตวิญญาณ จิตสำนึกในการอนุรักษ์สัตว์ป่าและป่าไม้ของสืบ ยังไม่เลือนหายไปไหน
“พอสืบเสียชีวิต สังคมเกิดการตั้งคำถามเรื่องการดูแลอนุรักษ์สัตว์ป่าและสิ่งแวดล้อมว่าดีพอหรือยัง รวมไปถึงบทบาทของรัฐและเอกชนต่อเรื่องนี้ มีการตั้งมูลนิธิสืบนาคะเสถียร สังคมไทยตื่นตัวในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ สัตว์ป่า ผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย แม้จะไม่เข้มข้นเหมือนแต่ก่อน แต่จิตวิญญาณของสืบยังคงอยู่ แต่จะมีรูปแบบอย่างไรขึ้นกับองค์ประกอบหลายอย่าง
“ป่าห้วยขาแข้งฝั่งตะวันตกเป็นมรดกโลก ได้รับความสนใจจากนักวิจัยทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมทั้งเอ็นจีโอ คนรุ่นใหม่จากทั่วประเทศใช้ป่าห้วยขาแข้งเป็นห้องเรียน ฝึกงาน และทำงาน เกิดการสร้างบุคลากรด้านการอนุรักษ์ ตอนนี้เสียงของนักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและสัตว์ป่าดังขึ้นกว่า 19 ปีก่อน เมื่อพูดไปก็มีคนฟัง ช่วยคิด ตั้งคำถาม และอยากเป็นแนวร่วม นอกจากนั้น การวิจัยสัตว์ป่าก็พัฒนาขึ้น มีบุคลากรในระดับปริญญาเอก แสดงถึงศักยภาพของประเทศในด้านเหล่านี้”
การกลับมาคิดทบทวนในเรื่องที่ว่า ทำไมคุณค่าของทรัพยากรธรรมชาติ ป่าไม้และสัตว์ป่า ถึงมีค่ามากมายมหาศาลจนทำให้คนคนหนึ่งยอมแลกได้ด้วยชีวิต เพื่อปกปักรักษาไว้ให้คนรุ่นต่อๆ ไป คือสิ่งที่สัตวแพทย์ท่านนี้คิด
“เราในฐานะคนที่รับมรดกเหล่านั้นมา หากไม่มีสืบ ทรัพยากรอาจลดน้อยลงไปกว่านี้ เราต้องรักษาให้ดี ทำทุกอย่างเพื่อให้ป่าไม้และสัตว์ป่าในเมืองไทยไม่ลดน้อยลงไปกว่านี้ สำคัญที่สุดคือการหาจุดสมดุลในการใช้และรักษาทรัพยากรธรรมชาติ”
น.สพ.ดร.บริพัตร มองว่า มันก็ไม่ต่างจากคนที่ต้องการทำงานด้านสังคมที่ต้องศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองและประชาธิปไตย จากเรื่องราวของเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519 จากประวัติของอาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์, จิตร ภูมิศักดิ์ และเสกสรร ประเสริฐกุล คนที่อยากเป็นนักอนุรักษ์หรือทำงานด้านสัตว์ป่าก็จำเป็นต้องศึกษาเรื่องราวของสืบเช่นกัน